ฝ้าฮอร์โมนใช้อะไรก็ไม่หาย รักษาฝ้ายังไงดี
ว่าด้วยเรื่อง "ฝ้า” (Melasma) เป็นเหมือนกันไหมคะ ใครแนะนำอะไรว่าดีใช้หมด ขอแค่รักษาฝ้าหาย อันตรายนะคะ ฝ้าเลือด ฝ้าฮอร์โมน ฝ้าแดด กระ เกิดมาจากที่เดียวกันเลย คือตัวผลิตเม็ดสี เรียกว่า เมลาโนไชต์ ทุกคนมีคะ ตัวผลิตเม็ดสี เมลาโนไชต์ถูกกระตุ้น จากแสงแดด ฮอร์โมน คนที่ทานยาคุม หรือ คนที่ตั้งครรภ์ ฮอร์โมนจะผิดปกติ ทำให้เกิดฝ้าได้คะสาเหตุที่ใช้อะไรไม่หายเพราะ เมลาโนไชต์หรือตัวผลิตเม็ดสี มันอยู่ลึกถึงชั้นในสุดของชั้นหนังกำพร้า ผิวเรามี 3 ชั้นคะ ชั้นหนังแท้ ชั้นไขมัน ชั้นหนังกำพร้า
ซึ่งชั้นหนังกำพร้าก็มี 3-4 ชั้นย่อย เพราะฉะนั้นครีมที่แค่ผลัดเชลล์ผิวด้านนอก มันไม่สามารถลงไปลดเมลานินใต้ชั้นผิวได้เลยรักษายังไงก็ไม่หาย ต้องใช้ครีมที่มีโมเลกุลขยาดเล็ก ผลิตแบบนาโน ถึงจะลงไปลดฝ้าได้ และที่สำคัญทากันแดดเพื่อบล็อคการเกิดฝ้าด้วยนะคะ
พบว่าการเกิดฝ้ามีความสัมพันธ์อย่างชัดเจนกับฮอร์โมน โดยเฉพาะในผู้หญิงตั้งครรภ์ หรือจะเห็นได้ชัดว่าผู้หญิงที่เป็นฝ้าและรับประทานยาคุมกำเนิดจะทำให้ฝ้าเข้มขึ้นและดื้อต่อการรักษา
ฝ้าเลือด หรือฝ้าสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งเป็นฝ้าชนิดหนึ่งที่คนไทยนิยมเป็นกันมากที่สุดไม่แพ้ฝ้าฮอร์โมน ฝ้าเลือดมีลักษณะเป็นรอยแดงคล้ายเส้นเลือด มีสีแดงปนน้ำตาล เป็นรอยปื้นๆ มีสีชมพู สีแดง จนไปถึงสีดำ ซึ่งคนที่เป็นมักผิวหน้าแดงง่ายเมื่อถูกความร้อนจากแสงแดด เพราะผิวบริเวณนั้นมีความบอบบางจึงเกิดความไวต่อแสงได้ง่าย และจะจางลงเมื่ออากาศเย็นหรือตอนล้างหน้า มักเกิดจากความผิดปกติของเลือดลม ฮอร์โมนแปรเปลี่ยนในร่างกาย และเกิดจากผลข้างเคียงของยาทาฝ้าบางชนิดที่มีสารไฮโครควิโนน สารปรอท ผสมอยู่ การยิงเลเซอร์โดยผู้ยิงที่ไม่ใช่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และไม่ได้ผ่านการวินิจฉัยจากแพทย์ รวมถึงการทายาบางชนิดก็อาจทำให้เกิดฝ้าได้เช่นกัน
ฝ้าฮอร์โมนรักษาให้หายขาดได้หรือไม่ ?
ฝ้า 90% พบในเพศหญิงซึ่งเกี่ยวข้องกับฮอร์โมนเพศหญิง
และคนที่เป็นฝ้านั้นมียีนที่เอื้อต่อการเกิดฝ้าอยู่ในพันธุกรรมของตนอยู่แล้ว จึงไม่สามารถทำให้หายขาดได้ แต่ปัจจุบันมีวิธีการดูแลรักษาที่ก้าวหน้าไปมาก ทำให้ถึงแม้ไม่หายขาดแต่ก็สามารถทำให้จางลงและควบคุมไม่ให้ฝ้าเข้มขึ้น จนดูใกล้เคียงกับผิวปกติได้เลยทีเดียว ฝ้าฮอร์โมนเป็นแล้วรักษาให้หายขาดต้องปรับตั้งแต่ฮอร์โมนภายในด้วย แค่ทาครีมหรือทำเลเซอร์ ก็เอาไม่อยู่พอจางหายกลับมาเป็นซ้ำเป็นหนักกว่าเดิมอีก วันนี้เรามีวิธีอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องฝ้าฮอร์โมนและฝ้าเลือด
ทากันแดดแล้วทำไมฝ้ายังเข้มขึ้น ?
ปัญหามักเกิดจากความเข้าใจคลาดเคลื่อนและวิธีใช้กันแดดที่ยังไม่ถูกต้อง
การรักษาฝ้าที่ถูกต้อง ต้องเริ่มจากการป้องกันที่ถูกต้อง ปัจจัยหลักของการเกิดฝ้าที่เราป้องกันได้คือ "แสงแดด" การป้องกันแสงแดดที่ถูกต้องต้องเริ่มจาก
การเลือกครีมกันแดดที่ถูกต้อง ควรเลือกใช้ครีมที่ SPF30+ PA++ ขึ้นไปเพื่อป้องกันได้ทั้งรังสียูวีบี & ยูวีเอ แต่สำหรับคนที่เป็นฝ้าแล้วถ้าให้ดีเลือกที่ SPF50+ PA+++ เพื่อให้ปกป้องผิวจากแดดได้เพียงพอ ปัจจุบันมีครีมกันแดดหลากหลายชนิด อาจทำให้การเลือกกันแดดให้เหมาะกับผิวตนเองเป็นเรื่องยากขึ้น หากพบปัญหาในการเลือกกันแดดควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางผิวหนังเพื่อเลือกกันแดดที่เหมาะกับผิวหน้า
การใช้กันแดดในปริมาณที่ถูกต้อง คนส่วนมากเข้าใจผิดว่าแค่เลือกใช้กันแดด SPF/PA สูงๆ เท่านั้นก็เพียงพอ ทาปริมาณแค่ไหนก็ได้ คงจะได้ SPF/PA เท่ากับที่ระบุไว้ ซึ่งความจริง หากอยากได้ SPF/PA ตามที่ระบุของกันแดด ต้องทากันแดดปริมาณ 2 มิลลิกรัมต่อตารางเซนติเมตร หรือเท่ากับปริมาณ 1 ข้อนิ้วมือพูนๆ ซึ่งปกติน้อยคนที่จะทาได้ตามปริมาณนั้น แล้วถ้าใช้ไม่ถึงล่ะจะเป็นอย่างไร จะได้ SPF แค่ไหน
ลองดูงานวิจัยในภาพ (Fig 1) ใช้กันแดด SPF 35 มาทดลองพบว่า หากลดปริมาณกันแดดลงครึ่งหนึ่ง เป็นหนึ่งข้อนิ้วมือ(1 mg/cm2) SPF ลดลงเหลือ 5!!! นั่นหมายถึงถ้าทาน้อยกว่านั้นก็แทบจะไม่ได้ประโยชน์จากกันแดดเลย
(งานวิจัย : The relation between the amount of sunscreen applied and the sun protection factor in Asian skin.)
นั่นจึงเป็นเหตุให้เราควรใช้ SPF สูงๆ เพราะแม้จะใช้ไม่ถึงปริมาณที่กำหนดก็ยังพอเหลือ SPF ปกป้องผิวได้บ้าง
ส่วนมากเราจะทากันแดดกันครั้งเดียวตอนเช้าแล้วเชื่อว่าปกป้องผิวเราได้ทั้งวันซึ่งเป็นความเชื่อที่ผิด เพราะกันแดดไม่ว่าจะยี่ห้อไหนรุ่นไหนในสภาพความเป็นจริงก็ปกป้องผิวได้ไม่เกิน 2-6 ชั่วโมง เพราะฉะนั้นในคนทั่วไปอาจต้องทาซ้ำทุก 4 ชม. แต่ในคนที่เป็นฝ้าควรทาซ้ำทุก 2 ชม.หากต้องอยู่กลางแจ้ง
Q : การรักษาฝ้ามีวิธีใดบ้าง ?
A : การรักษาฝ้าปัจจุบันมีหลายวิธี
การใช้ยาทา มีอยู่หลายสูตร ซึ่งส่วนผสมหลักคือ ไฮโดรควิโนน (Hydroquinone) ซึ่งเป็นยาที่ต้องใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์ เพราะหากมีสัดส่วนที่มากเกินไปจะเกิดอันตรายถึงขั้นเซลล์เม็ดสีตายและเกิดเป็นด่างขาวขึ้น ซึ่งพบปัญหานี้ได้บ่อยจากการทำครีมฝ้าหน้าใสขายตามท้องตลาดโดยผู้ผลิตไม่มีความรู้ความเข้าใจเพียงพอ จนส่งผลเสียถึงผู้บริโภคในที่สุด แต่ถ้าใช้ในสัดส่วนที่ถูกต้องจะให้ผลการรักษาทีดี
การใช้ยารับประทานกลุ่ม Tranexamic acid เป็นยาที่มีรายงานทางการแพทย์ว่าสามารถทำให้ฝ้าจางลงได้ แต่เนื่องจากยาตัวนี้มีผลรักษาเกี่ยวกับระบบการแข็งตัวของเลือด & ผลข้างเคียงอื่นๆ ก่อนเริ่มการรักษาด้วยยารับประทานควรได้รับการตรวจและประเมินก่อนให้ยาโดยแพทย์เฉพาะทางผิวหนังก่อนเสมอ
การใช้เลเซอร์และทรีตเมนท์รักษาฝ้า
Chemical peeling การผลัดผิวด้วยกรด TCA หรือกรดผลไม้ เพื่อทำให้ผิวหนังบริเวณที่มีฝ้าหลุดลอกออก ปัจจุบันไม่เป็นที่นิยมนักเพราะมีโอกาสเกิดผลข้างเคียงและรอยดำได้
Electroporation อิเล็คโตรพอเรชั่น คือการใช้เครื่องมือที่ใช้ ion wave นำตัวยาเข้าสู่ชั้นผิวได้ลึกกว่าการทายา เพื่อลดการทำงานของเซลล์สร้างเม็ดสี มักใช้เสริมการรักษาหลังจากที่ทำเลเซอร์
เลเซอร์ที่ทำลายเม็ดสีส่วนเกิน เลเซอร์กลุ่มนี้จะผ่านผิวหนังลงไปทำให้เม็ดสีส่วนเกินแตกออกเป็นชิ้นเล็กๆ และถูกทำลายต่อไป โดยไม่ทำให้ผิวบาง/ไวแดด (ถ้าเป็นเลเซอร์ที่มาตรฐาน & ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธีโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางจริงๆ) ได้แก่ Q-switched Nd YAG , Copper Bromide laser , PicoSure etc. การจะเลือกใช้เลเซอร์ชนิดใดควรได้รับการตรวจวินิจฉัยโดยแพทย์เฉพาะทางผิวหนังเพื่อวิเคราะห์ปัญหาและเลือกชนิดเลเซอร์ที่เหมาะกับปัญหามากที่สุด เพื่อผลการรักษาที่น่าพึงพอใจ
Q : ฝ้าควรเริ่มรักษาเมื่อใด ?
A : ฝ้าโดยปกติจะเริ่มพบเมื่อช่วงเข้าสู่วัยรุ่น ควรเริ่มรักษาตั้งแต่เริ่มพบปัญหา
เพราะยิ่งเริ่มรักษาเร็วเมื่อยังเป็นน้อยการรักษาจะได้ผลดีกว่าปล่อยให้เป็นเยอะๆ แล้วค่อยมารักษา
แต่ปัญหาจุดด่างดำบนใบหน้าของผู้หญิงไม่ได้มีฝ้าอย่างเดียว มีทั้ง กระลึก (Nevus of Ota/Hori) กระแดด (Freckle) กระแดดชนิดลึก (Solar lentigo) กระเนื้อ (Seborrheic keratosis) etc.
ซึ่งหากพบจุดด่างดำที่เริ่มเห็นชัดบนใบหน้า ควรได้รับการตรวจวินิจฉัยโดยแพทย์เฉพาะทางผิวหนังก่อนเสมอ เพราะการวินิจฉัยที่ถูกต้องจะนำไปสู่ผลการรักษาที่ดีและน่าพึงพอใจในที่สุด